วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ว่ากันด้วยเรื่อง "เท้า"

ตามที่สัญญาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน เราจะว่ากันด้วยเรื่อง "เท้า" ซึ่งการหัดท่ารำไทยเบื้องต้น นอกจากใช้มือ "ตั้งวง" และ "จีบ" เป็นหลักแล้ว "เท้า" นับเป็นองค์ประกอบหลักอีกอย่าง ที่มีความสำคัญมาก การใช้เท้าในรำไทย มีมากมายหลายแบบ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น "เท้า" กันดีกว่า
"เท้า" ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่มีชื่อเรียกเฉพาะ ในที่นี้จะพูดถึงส่วนที่ใช้ในการฝึกหัดรำไทย ซึ่งถือว่าเป็นคำพื้นฐานที่นักเรียนรำไทยจะต้องรู้จัก และใช้ส่วนต่างๆ เหล่านั้นให้ถูกต้องในการฝึกหัดรำแต่ละท่า ให้ถูกต้องสวยงามตามแบบอย่าง ได้แก่
"ส้นเท้า" คือกระดูกส่วนหลังของเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย และใช้ในการทรงตัวเป็นหลัก
"จมูกเท้า" คือกระดูกบริเวณส่วนหน้าของฝ่าเท้า ที่สัมผัสพื้นเมื่อมีการยกหัวแม่เท้าและนิ้วเท้าอื่นๆ ขึ้น ใช้ในประกอบในการประเท้า แตะเท้า ฉายเท้า เล่นเท้า เดาะเท้า ช่วยในการทรงตัว และแสดงจังหวะ
"นิ้วเท้า" คือส่วนหน้าสุดของเท้า ซึ่งในการฝึกหัดรำไทย มักจะถูกเชิดขึ้นจนสุด เพื่อความถูกต้องสวยงาม
ส่วนประกอบหลักทั้งสามของ "เท้า" เหล่านี้ ถูกนำมาผสมผสานกัน จนเกิดเป็นท่าทางของการใช้เท้าในรำไทย มากมายหลายแบบ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อๆ ไป

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรามา "จีบ" กันเถอะ


เห็นหัวข้อวันนี้แล้วอย่าได้ตกใจไป ก็เราจะมา "จีบ" กันจริงๆ
"จีบ" นับเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกหนึ่งสิ่ง ที่จะขาดเสียไม่ได้ในรำไทยทั้งหมดทั้งมวล จากที่เราสอนเด็กๆ ให้ฝึกหัด "ตั้งวง" กันได้อย่างสวยงามแล้ว ขั้นต่อไปคุณครูก็จะสอนให้เด็กๆ "จีบ" กัน ก่อนที่จะนำการ "ตั้งวง" และ "จีบ" มาผสมผสานกัน จนเกิดเป็นท่ารำไทยต่างๆ อีกมากมาย


"จีบ" คือ การนำนิ้วหัวแม่มือข้างใดข้างหนึ่ง เข้าไปจรดกับข้อที่ 1 ของนิ้วชี้ของมือข้างนั้นๆ โดยนิ้วหัวแม่มือจะต้องงอเข้าเล็กน้อย ส่วนนิ้วอื่นๆ ที่เหลือกรีดตึงออกไป คล้ายรูปพัด นอกจากนี่การ "จีบ" ที่สวยงาม จะต้องหักข้อมือเข้าหาลำตัวจนสุดเสมอ

โดยหลักของรำไทย จีบมี 2 รูปแบบ คือ จีบคว่ำ และจีบหงาย ท่ารำต่างๆ ก็เกิดจากการนำจีบทั้ง 2 รูปแบบนี้ ไปอยู่ในระดับต่างๆ กัน จนเกิดเป็นท่ารำที่สวยงามขึ้น "จีบ" นอกจากจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของท่ารำต่างๆ ในการรำไทยแล้ว ยังสามารถใช้สื่อความหมายต่างๆ ได้อีกมากมาย โดยการนำ "จีบ" ไปอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย อาทิเช่น
- จีบเข้าอก คือ การจีบเข้าหาตัว ให้นิ้วชี้อยู่ระดับกึ่งกลางอก (นิยมใช้มือซ้าย) สื่อความหมายคำว่า ตัวเรา ของเรา ความในใจ เข้าใจ
- จีบเข้าระดับปาก คือ การดึงมือจีบมาที่ปาก สื่อความหมายถึง การยิ้ม แสดงความพอใจ ชื่นชม
- จีบเข้าระดับจมูก คือ การดึงมือจีบมาที่จมูก สื่อความหมายถึง กลิ่นหอม
- จีบเข้าระดับใบหู คือ การดึงมือจีบมาที่ใบหู (นิยมใช้มือตรงข้ามกับใบหู) สื่อความหมายถึง ทัดดอกไม้ หรือถ้าลดมือจีบต่ำลงมาถึงระดับติ่งหู ก็จะลื่อความหมายถึง การใส่ต่างหู
ถึงตรงนี้ ขอย้อนไปพูดถึงการ "ตั้งวง" ที่มีด้วยกันหลายระดับ ซึ่งผู้รำสามารถนำมาประกอบเข้าเป็นท่ารำได้อีกมากมาย แต่มิได้ใช้ในการสื่อถึงความหมายใดๆ ได้แก่
- วงบน คือ การตั้งวงโดยให้ปลายนิ้วทั้งสี่ ชี้ขึ้นด้านบน แขนยกขึ้นระดับไหล่ กางแขนออกข้างลำตัว งอแขนเล็กน้อยให้เป็นรูปโค้งสวยงาม ความสูงของวงบน ขึ้นอยู่กับสรีระของผู้รำแต่ละคน โดยส่วนมากจะกำหนดให้ความสูงของปลายมือ อยู่ในระดับ "หางคิ้ว" (สำหรับผู้รำเป็นตัวนาง) และความสูงของปลายมือ อยู่ในระดับ "แง่ศีรษะ" (สำหรับผู้รำเป็นตัวพระ)
- วงกลาง คือ การตั้งวงโดยให้ปลายมืออยู่ในระดับเดียวกับไหล่ ซึ่งแขนจะลดระดับลงต่ำกว่าไหล่เล็กน้อย โดยวงกลางของผู้รำเป็นตัวพระ จะกางออกจากลำตัวมากกว่าผู้รำเป็นตัวนางเล็กน้อย
- วงล่าง คือ การตั้งวงโดยให้ปลายมืออยู่ในระดับชายพก (หน้าท้อง) หันฝ่ามือออกจากลำตัว โดยวงล่างของผู้รำเป็นตัวพระ จะอยู่ค่อนไปทางด้านข้างของลำตัว และเปิดข้อศอกมากกว่าผู้รำเป็นตัวนาง
- วงหน้า คือ การตั้งวงโดยให้ปลายมืออยู่สูงระดับไหล่ แขนส่งมาด้านหน้าลำตัว หันฝ่ามือออก โดยวงหน้าของผู้รำเป็นตัวพระ จะกว้างกว่าของผู้รำเป็นตัวนางเล็กน้อย
- วงหงาย คือ การตั้งวงในระดับต่างๆ โดยให้ปลายนิ้วมือตกลงสู่พื้น ไม่ชี้ขึ้นด้านบน
เพียงเราเรียนรู้และฝึกหัด "ตั้งวง" และ "จีบ" ได้อย่างคล่องแคล่วสวยงาม "รำไทย" ก็จะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป เพราะ 2 ท่าสำคัญนี้ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ต้องมีอยู่ในการรำไทยอย่างแน่นอน ในครั้งหน้าเราจะว่ากันด้วยเรื่อง "เท้า" นะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ปฐมบท ... รำไทย



ปฐมบท ... รำไทย

เท่าที่พอจะจำความได้ เริ่มต้นขึ้นในชั้นประถมศึกษา จำไม่ได้แล้วว่าประถมไหน แต่ที่ยังจำได้แม่น เพลงแรกที่รำคือ รำอธิษฐาน ไปยังไงมายังไงก็ไม่รู้อีก จำได้แต่เพียงว่า กลับมาบ้านเย็นวันนึง ยกไม้ยกมือทำท่ารำให้คุณแม่ดู พร้อมกับร้องเพลงอธิษฐานไปด้วย แล้วเช้าของอีกวันนึง ก็แต่งชุดไทย แต่งหน้าทาปาก เกล้าผมจุก ไปรำอยู่ต่อหน้าเสาธงของโรงเรียน เคยมีหลักฐานปรากฏเป็นภาพถ่าย ซึ่งเสียหายไปเรียบร้อยจากเหตุการณ์น้ำท่วมบ้าน

อีกสิ่งที่ยังจำฝังใจ ก็คือการยกมือขึ้นทำท่ารำ หรือที่เรียกว่า "ตั้งวง" หากเทียบกับการตั้งวงที่ถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน และทุกวันนี้ก็ยังได้นำมาถ่ายทอดแก่ลูกศิษย์เล็กๆ อีกหลายคน "ตั้งวง" ของครูรำไทย สมัยยังเป็นเด็กประถม นอกจากไม่สวยงามแล้ว ยังผิดรูปผิดแบบอย่างที่สุด เท่าที่มือของเด็กคนนึงจะทำได้ แต่ในที่สุดเด็กประถมคนนั้น ก็มีโอกาสได้เรียนรู้อย่างแท้จริง ว่า "ตั้งวง" อย่างไร จึงจะสวยงามและถูกต้องตามแบบนาฏศิลป์ไทย

สิ่งที่นำมาใช้เมื่อสอนลูกศิษย์ ขั้นแรกคือการให้อิสระ เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทำท่า "ตั้งวง" ตามแต่เจ้าตัวจะจินตนาการ คุณครูเพียงแนะนำให้เด็กใช้ความคิด ประกอบกับใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย แสดงท่า "ตั้งวง" ตามโจทย์ที่ได้รับ เด็กส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกผ่อนคลาย ไม่รู้สึกว่าโดนบังคับให้มาเข้าห้องเรียน "รำไทย" จากนั้นเด็กๆ ทุกคนก็จะได้แลกเปลี่ยนท่าทางและจินตนาการกับเพื่อนๆ สร้างบรรยากาศสนุกสนานในห้องเรียนได้อีก สำหรับคุณครูไม่ว่าเด็กๆ จะ "ตั้งวง" อย่างไร ไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด เพราะท้ายที่สุด เด็กๆ ทุกคนก็ต้องฝึกหัด "ตั้งวง" ให้ได้สวยงามตามแบบอย่างที่ถูกต้อง

"ตั้งวง"

เริ่มต้นด้วยการยกมือขึ้นตั้ง ให้ปลายนิ้วทั้งสี่ชี้ขึ้นไปด้านบน ส่วนนิ้วโป้งพับงอเข้ามาหาฝ่ามือเล็กน้อย หนีบนิ้วทั้งสี่ให้เรียงชิดติดกัน พร้อมทั้งหักข้อมือเข้าหาลำตัวจนสุด

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงทฤษฎี ซึ่งในทางปฏิบัติ คุณครูก็อดไม่ได้ ที่จะขอดัดแปลงแต่งเสริมเติมความสนุกสนาน เพื่อให้เด็กจดจำ และสนุกกับการทำตามอย่าง จนลืมเมื่อยไปเลยก็มี เช่น
- นิ้วโป้ง เป็นพี่ใหญ่ ต้องอยู่หน้าน้องๆ อีก 4 นิ้ว ดังนั้น จึงต้องงอนิ้วโป้งไปข้างหน้า
- นิ้ว 4 นิ้ว ต้องรักและสามัคคีกัน โดยเรียงชิดติดกันเสมอ หากมีนิ้วหนึ่งนิ้วใด แยกตัวออกห่างจากเพื่อนๆ นิ้วอื่นๆ ที่เหลือต้องรีบตามง้อให้นิ้วกลับมาเรียงชิดติดกันทันที
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ จดจำ ว่าการตั้งวงที่สวยงามนั้นทำอย่างไร

บางครั้งขณะที่พูดออกไป ก็อดคิดไม่ได้ว่า คุณครูผู้ใหญ่ท่านจะว่าอย่างไร หากผ่านมาได้ยิน ...
"ขอโทษค่ะ คุณครู ... วิธีถ่ายทอดอาจจะแหวกแนวไปนิด แต่ผลลัพธ์ออกมาสวยงามตามแบบแผน
ถึงอย่างไรหนูก็ตั้งใจดีนะคะ"

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

มาจะกล่าวบทไป ...

บทร้องละครรำ มักจะเริ่มต้นด้วยวลีนี้ เป็นการแนะนำตัวละคร ก่อนที่จะดำเนินบทบาทต่างๆ ไปตามท้องเรื่อง นับว่าเหมาะสมทีเดียว กับการเริ่มต้นบทความชิ้นแรกนี้ งานเขียนบนสื่ออินเทอร์เน็ต ของครูคนนึง ที่ขอเรียกตัวเองว่า "ครูรำไทย"
มาจะกล่าวบทไป ... ครูรำไทยคนนี้ ขอเรียกตัวเองว่า "ครู" อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะถึงวันนี้สอนรำไทยมาแล้วกว่า 19 ปี ตอนเป็นเด็กก็อยากเป็นหมอ โตขึ้นมาอีกนิดก็อยากเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีอะไรให้เรียน ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นครู จนถึงวันนึงเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ไม่เคยนึกฝัน ว่าการฝึกงานเพื่อให้ครบหลักสูตรของสาขาวิชาเรียน จะกลายเป็น "งานอดิเรก" และ "อาชีพ" ที่ยังคงทำต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
เมื่อหลายปีก่อน มักบอกใครๆ ว่า ทำงานอดิเรก สอนรำไทย เสาร์-อาทิตย์ ขณะที่วันจันทร์-ศุกร์ ก็ทำงานประจำเป็นสาวออฟฟิสทั่วไป เกือบทุกคนที่ได้ฟัง ก็จะทำตาโต เมื่อรู้ว่าเรียนจบนาฏศิลป์ เพราะทุกออฟฟิสที่ทำงานมา ไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษานี้ ประกอบการสมัครงานเลย ทำให้เกิดความภูมิใจกับตัวเองลึกๆ ที่มีโอกาสนำวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาหลายปี มาใช้ในการ "ทำงานอดิเรก" ซึ่งหลายๆ ครั้ง ให้ความสุข และความสนุก มากกว่า "งานประจำ" เสียอีก
มาจะกล่าวบทไป ... บทเริ่มต้นของ "ครูรำไทย" ก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยประการฉะนี้